Covid's Diary | อยู่ยุโรป (เยอรมนี) ช่วงโควิดระบาดนี่มันเป็นยังไงกันนะ
- FernniZ
- Nov 16, 2020
- 3 min read

มาจ้ะ ว่าจะเขียนนานแล้วบล็อกนี้ ปี 2020 นี่ถือว่าเป็นหายนะมากและเฟิร์นก็พยายามจะมองสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น (ก็ได้แก่ลิเวอร์พูลชนะแชมป์ลีค ฮ่าๆๆ) แต่ก็ต้องยอมรับว่าปีนี้เป็นปีที่แย่มากจริงๆ…ตอนแรกคิดว่าปีนี้จะไม่ได้กลับบ้านแล้วด้วย เพราะกลับมาก็ต้องกักตัว 2 อาทิตย์ วันลาพักร้อนไม่ได้เยอะขนาดนั้น แถมยังต้องเสียตังค์ถ้าไม่ได้กลับเที่ยวบินพิเศษ แตตตตตต่! สุดท้ายแล้วเราก็สามารถลางานมาเพิ่มอีก 2 อาทิตย์แบบไม่รับเงินเดือนได้ + ได้บินเที่ยวบินการบินไทยเที่ยวบินพิเศษที่กักตัวฟรีกลับมา (ตอนนี้ลุฟทันซ่าก็มีแล้ว)
ว่าแต่…ช่วงระยะเวลาตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมที่ Covid-19 ตัวร้ายมันเริ่มระบาด มาจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายนตอนเนี้ยยยย ที่เยอรมันโดนผลกระทบขนาดไหนและรับมือกันยังไงนะ?
ย้อนไปเมื่อเดือนมีนาคม คือช่วงที่ทั้งโลกกำลังจะเข้าสู่ล็อกดาวน์…ต้องเล่าก่อนว่าที่เยอรมนีเนี่ยมันเริ่มเมื่อช่วงเทศกาลคาร์นิวัลในเดือนกุมภาพันธ์มากกว่า เนื่องจากมีการรวมตัวของกลุ่มคนเยอะๆ (เฟิร์นเองก็ไปทำงานที่เทศกาลนี้มาเหมือนกัน) ในแถบของรัฐ North Rhine-West Phalia และปรากฎว่าทำให้เกิดการระบาดขึ้นมาในแถบรัฐนี้ ซึ่งเป็นการระบาดในประเทศเป็นครั้งแรกๆ เลย
ก่อนหน้านี้ก็มีการงานการการติดเชื้อมาก่อนแล้ว ซึ่งมาจากคนที่กลับมาจากต่างประเทศในช่วงนั้น ทั้งจีนและอิตาลี (อิตาลีช่วงนั้นระบาดหนักมากจริงๆ)
ในส่วนของคนเยอรมันนั้น เขามีความหัวดื้อกันมากกกก ไม่เคยเจอชาติไหนจะดื้อหัวชนฝาขนาดนี้มาก่อน…ตอนแรกติดกัน 20 คนบอก “โอ๊ย ก็แค่ไข้หวัดประเภทหนึ่ง” ตอนเริ่มหลักร้อยบอก “ไปดูจีนนู่น ติดกันเป็นพันเป็นหมื่น” สักพักพุ่งหลักพันก็บอก “ประเทศเรามีคนตั้งแปดสิบกว่าล้าน”
เออ ดี

ตอนแรกๆ ในประเทศนั้นไม่มีการใส่หน้ากากอนามัยกันเลย ช่วงต้นเดือนมีนาคม เฟิร์นลาพักร้อนไว้ 12 วัน ทีแรกว่าจะกลับไทยนี่แหละ แต่แม่บอกอย่าเพิ่งบินเลย โรคกำลังระบาด สรุปอิชั้นไปอังกฤษแทนจ้า…พอกันทั้งสองประเทศ ไม่มีการใส่หน้ากากอะไรทั้งนั้น ตอนนั้นบอกตรงๆ ว่าเราก็ไม่ได้ใส่ และยังงงมาถึงทุกวันนี้ว่าทำไมกูไม่ติดวะ (หัวเราะ) เพราะไปแต่สถานที่ที่คนเยอะๆ ในลอนดอนทั้งนั้น ไม่ว่าจะตลาด (นึกถึง Portobello ในเรื่องนอตติงฮิลล์เนอะ) พิพิธภัณฑ์อีกหลายต่อหลายที่ รวมถึงนั่งรถไฟไป Brighton แบบเดย์ทริป อยู่ลอนดอน 10 วันเต็มๆ
แต่…ก็เป็นการเที่ยวที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงเช่นกัน เพราะตอนแรกที่ออกมาจากเยอรมนียอดผู้ติดเชื้อมีแค่ประมาณ 500 คนเท่านั้น (ถ้าจำไม่ผิดนะ) จำได้ว่ายังคุยกับเพื่อนอยู่เลยว่าตอนกลับไปต้องถึงพันแน่ๆ สรุป…วันที่ 15 มีนาคมซึ่งเป็นวันสุดท้ายก่อนกลับ พุ่งเข้าไปถึง 6,000 เข้าไปแล้ว ขนาดว่าออกมาแค่ 10 วันเท่านั้น คือมันไปไวมากๆ และยอดในอังกฤษก็พุ่งเอาๆ
บอกเลยว่าวันที่ 15 มีนาคมที่บินกลับมา คือวันสุดท้ายจริงๆ ที่ทุกคนยังเที่ยวได้อยู่ (อีนี่ก็ยังไปเที่ยวนะ ยังไป National Gallery ในลอนดอนอยู่เลย) เพราะถัดมาอังกฤษก็ประกาศล็อกดาวน์ทันที
แล้วที่เยอรมันล่ะ เป็นยังไงบ้าง…โรงแรมที่ทำงานอยู่ต้องปิดน่ะสิจ๊ะ ปิดกันทั่วไปหมดเลย คือทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ภายในเวลาไม่กี่อาทิตย์ทุกอย่างคือดิ่งลงเหวหมด ต้องคิดก่อนว่า ตอนที่มันเริ่มระบาดหนักจริงๆ คือต้นมีนา (คนเริ่มติดเชื้อกลางกุมภาจากงานคาร์นิวัล) เฟิร์นกลับมาจากอังกฤษกลางมีนา…ทำงานได้อีกแค่ประมาณอาทิตย์เดียวคือโรงแรมประกาศปิดแล้ว เพราะมันไม่มีแขกเลย ไม่มีเลยยยยยจริงๆ
ทั้งนี้ทั้งนั้นเยอรมนีน่าจะเป็นประเทศเดียวที่ไม่มีการปิดประเทศ คือเยอรมนีเป็นศูนย์กลางของยุโรปเลย ล้อมรอบด้วยอีก 9 ประเทศเลยทีเดียว ประเทศอื่นๆ รอบประเทศคือปิดพรมแดนหมด แต่เยอรมนีไม่ได้ปิดประเทศ ก็คือยังบินได้อ่ะ แต่จะบินไปไหนล่ะ ฮ่าๆๆๆ
นอกจากโรงแรมแล้ว อื่นๆ ก็ปิด ไม่ว่าจะโรงเรียน ร้านอาหาร สถานบันเทิง ฟิตเนสสตูดิโอ…ปิดทุกอย่าง ตอนนั้นคือไปได้แค่บ้านกับที่ทำงานจริงๆ ร้านอื่นที่ไม่ได้ปิดก็คือร้านขายยากับซูเปอร์มาร์เก็ต กลายเป็นเมืองร้างอย่างกับในหนังซอมบี้ไปเลยจริงๆ
ทุกอย่างมันประหลาดมาก…ไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนว่าเกิดมาจะได้สัมผัสบรรยากาศแบบนี้ ที่ซูเปอร์นี่ถึงขั้นมีพวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาคอยควบคุมจำนวนคนที่เข้าร้านเลยทีเดียว คือมันเป็นโมเมนต์ที่เซอร์เรียลมากกกก แถมผู้คนก็ไปตุนกระดาษทิชชู่กันอยู่นั่น (ไม่รู้จักที่ฉีดก้นแบบเราไง!!) ทั้งพวกของแห้ง ข้าวเขิ้ว แป้ง เส้นต่างๆ ไปหมดดด

แต่อย่างไรก็ตาม ที่นี่ที่เขาสั่งปิดทุกอย่างได้ขนาดนี้ เพราะรัฐบาลเขาช่วยเต็มที่ ใครเดือนร้อนเพราะต้องปิดธุรกิจ ต้องอยู่บ้านเฉยๆ ก็ไม่ใช่ว่าขาดรายได้ เพราะรัฐบาลเขาช่วยจ่ายเงินเดือนสำหรับคนที่ไม่มีลูก 60% จากรายได้ทั้งหมด และ 67% สำหรับคนที่มีลูก ทั้งนี้ทั้งนั้นโรงแรมของเฟิร์นยังช่วยจ่ายอีก 20% เท่ากับว่าอยู่บ้านไปสบายๆ ก็ยังได้เงินเดือนถึง 80-87%! คือดีมากกกกก (แต่สำหรับเฟิร์นที่เป็นเด็กฝึกงานและได้เงินเต็ม 100% อยู่แล้วก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง) นี่เป็นระบบที่เขาเรียกว่า Kurzarbeit ซึ่งสามารถยืดได้ถึงเดือนกันยายน (ในทีแรก) แต่ตอนนี้เพิ่มมาเป็นสิ้นปี จนไปถึงปีหน้ากันแล้ว
เนี่ย รัฐบาลดี มันจะเป็นหยังงี้ยยยย (ไม่พาดพิงเลยจริงๆ)
จนเดือนเมษายนนั่นแหละ เขาถึงประกาศว่า “ต้อง” สวมหน้ากากอนามัยในสถานที่ปิด (เช่น บนรถสาธารณะ หรือในซูเปอร์) คือเอาจริงๆ เฟิร์นคิดว่าเยอรมนีประมาทไปมาก แม้จะมีการรับมือที่ดีและมีแพทย์พร้อมก็ตาม (อุปกรณ์ทางการแพทย์และเตียง ICU เยอะมาก และมากขนาดจนถึงขั้นแบ่งพวกบุคลากรทางการแพทย์ไปรักษาที่อื่น หรือรับคนไข้โควิดจากประเทศใกล้เคียงเข้ามารักษาได้) และผู้คนในประเทศหัวดื้อไปหน่อย
หัวดื้อยังไงน่ะหรือ…ก็ไม่มีความเกรงกลัวกันเลย แถมยังคิดว่า “โคโรน่าเป็นแค่ไข้หวัด คนตายจากโรคอื่นเยอะแยะ” เฟิร์นได้ยินคำพูดนี้บ่อยมากๆๆๆๆ ก็คิดในใจว่าถ้ามันไม่น่ากลัว เขาจะตื่นตัวกันทั่วโลกทำไมวะ ที่หนักกว่าก็คือหลายคนมีปัญหากับการสวมหน้ากากมาก ชอบคิดว่าอึดอัดและใส่แบบไม่ปิดจมูกแต่ปิดแค่ปาก เห็นแล้วรำคาญลูกกะตาและโมโหอ่ะ ขึ้นจริงๆ ฮ่าๆๆๆ
คือแบบ ทำไมเขาเป็นอย่างนี้กันอ่ะ ประเทศนี้คือดีมากๆ รัฐบาลพร้อมช่วยเหลือ แพทย์ ยาครบมือ ระบบทุกอย่างมีประสิทธิภาพแบบแทบไม่มีอะไรให้บ่น แต่ผู้คนคือ…ด้วยความที่ประเทศเขาสอนให้คิดตั้งแต่เด็ก (คะแนนครึ่งหนึ่งในโรงเรียนมาจากการยกมือดิสคัสกันในห้องเลยนะ ครึ่งนึง!) ทุกๆ คนเลยมีความคิดเป็นของตัวเอง และมักคิดว่าวิธีที่ชั้นคิดเนี่ยนะ มันถูกกกก ชั้นไม่สนว่าใครจะมองต่างแต่ชั้นคิดของชั้นแบบนี้ และก็ต้องพูดออกมาด้วยนะ เพราะงั้นหลายครั้งมันจึงเหมือนคนเยอรมันทะเลาะกันตลอดเวลา
คือพูดได้คำเดียวว่าดื้ออ่ะ ดื้อจริงๆ

แต่อีกข้อหนึ่งที่ดีก็คือ พอมีกฎแบบนี้ออกมาอย่างเป็นทางการ ผู้คนส่วนใหญ่ก็ปฏิบัติตามอย่างเป็นระเบียบ เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกด้วยที่ป้าแองกาล่า แมร์กเคิล (เขียนตามการออกเสียงให้ถูกต้องเขียนแบบนี้) ถึงกับต้องออกมาประกาศอะไรอย่างจริงจังตลอดสิบกว่าปีที่เป็นผู้นำประเทศมา ดังนั้นจึงหมายความว่านี่มันเป็นเรื่องซีเรียสจริงๆ
แต่แน่นอนว่า มีกฏย่อมมีคนแหก ตอนนั้นเขาห้ามพบปะกันเกินสองคน ย้ำ เกินสองคนไม่ได้จ้า ไม่งั้นโดนปรับคนละ 200 ยูโรนะจ๊ะ! (ประมาณคนละเจ็ดพันกว่าบาท) และร้านอาหารต่างๆ ที่ต้องปิด ก็ยังสามารถส่งแบบเดลิเวอรีหรือมารับเอาเองได้ ร้านไอศกรีมก็เปิดได้ แค่ห้ามนั่งกินที่ร้าน ตอนนั้นคือฤดูใบไม้ผลิ อากาศเริ่มอบอุ่นแล้วไง ร้านไอศกรีมเลยกลับมาเปิด (ที่นี่ร้านไอศกรีมจะปิดช่วงฤดูหนาวนาจา) แต่! ซื้อแล้วต้องไปนั่งกินไกลๆ ร้านหน่อยนะ ไม่งั้นโดนปรับอีก!!
กฏหมายที่นี่เขาเข้มงวดมากจริงๆ และแน่นอนว่าผู้คนปฏิบัติตาม ใครที่แหกกฏยังจัดปาร์ตี้อยู่ก็โดนปรับไปอื้อ…แต่มันก็ดีอยู่ได้แค่ประมาณ 2 เดือนนั่นแหละ เพราะพอช่วงเดือนพฤษภาคมที่เริ่มมีการผ่อนปรนเพราะยอดผู้ติดเชื้อน้อยลง ทุกอย่างก็เริ่มหละหลวมขึ้น
โรงแรมกลับมาเปิด ร้านอาหารเปิดให้คนนั่งทานได้ แค่ต้องเว้นระยะห่างระหว่างโต๊ะ 1.5 เมตร ทุกคนต้องสวมหน้ากากเข้ามาในร้าน และถอดได้เมื่อนั่งลงแล้วเท่านั้น เมื่อไหร่ที่ลุกก็ต้องสวมอีก ไม่ว่าจะลุกไปเข้าห้องน้ำหรือแค่เดินออกจากร้านก็ตาม ทุกอย่างก็เวิร์คดี
แต่ปัญหาก็คือ…ผู้คนเริ่มจะไม่กลัวแล้ว เพราะมาถึงจุดนั้นยอดผู้ติดเชื้อเหลือแค่ประมาณ 6 พันคนเท่านั้น จากเป็นหมื่นๆ แสนๆ คือที่ไทยถือว่าเบามาก บอกตรงๆ ว่าบางครั้งเฟิร์นสงสัยว่าคนไทยกลัวอะไรกัน เพราะที่เยอรมนีมันชิลมากจริงๆๆ (แต่จริงๆ กลัวไว้นั่นแหละดีแล้ว เพราะมันระบาดไปไวจริงๆ) คือขนาดยอดผู้ติดเชื้อเยอะติด 1 ใน 5 ของโลก ชีวิตทุกอย่างก็ยังดำเนินปกติ (ยกเว้นช่วงแรกที่ประหลาดๆ ไปหน่อย) แบบนั่งรถไฟไปทำงาน ไปนู่นมานี่ ทุกอย่างยังชิลอยู่เลย และขนาดว่าอยู่ท่ามกลางประเทศที่คนติดเยอะขนาดนั้น ไอ้เราก็ไม่ป่วยเลยสักครั้ง (หรือเป็นไปแล้วแต่ไม่รู้เรื่องก็ไม่รู้)
หลายคนก็คงจะรู้สึกแบบเฟิร์น อารมณ์แบบว่า กูรอดมาขนาดนี้ มันก็น่าจะไม่ติดแล้วมั้ย…แต่บอกก่อนว่าเฟิร์นก็ระวังตัวดีนะ ไม่ใช่ว่าชิลแล้วไม่สนใจอะไรเลย คือล้างมือตลอด พกเจลล้างมือติดตัวตลอดเช่นกัน
อ้อ ต้องบอกด้วยว่าเยอรมนีเป็นประเทศที่มีคนติดเชื้อเยอะเป็นอันดับต้นๆ ของโลกก็จริง แต่ก็เพราะนี่เป็นหนึ่งในประเทศที่ตรวจเยอะมากกกก คืออัตราการตรวจต่อจำนวนประชากรเยอะกว่าประเทศอื่นอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งถ้าเทียบกับประเทศที่ติดเท่าๆ กันนะ ประเทศเหล่านี้ตรวจกันไปไม่ถึง 5 ล้านคน แต่ปัจจุบันเยอรมนีตรวจไปแล้ว 25 ล้านคน!
ที่สำคัญ คืออัตราการตายน้อยมากกกกก น้อยสุดๆ เมื่อเทียบกับยอดผู้ติดเชื้อ น้อยแบบที่โลกงงเลยว่ามันเป็นไปได้ยังไง คือจะเห็นว่าอังกฤษ อิตาลี สเปนเนี่ยตายเยอะมาก แต่เยอรมนีตายน้อยจริงๆ จนทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร

ทีนี้ สิ่งที่ตามมาก็คือซัมเมอร์จ้า ซัมเมอร์
เพราะว่ายอดผู้ติดเชื้อลดลงเยอะมากในทุกประเทศของยุโรป เขาก็เลยเริ่มจะประกาศเปิดประเทศกันและอนุญาตให้เดินทางกันได้ในสหภาพยุโรป ทีนี้แหละ…มันก็เริ่มเลย เพราะผู้คนต่างก็ทนไม่ไหวแล้ว เริ่มเดินทางกันเรื่อยๆ คือเฟิร์นก็บินไปเวียนนามารอบนึง นึกออกมั้ยว่าสถานการณ์มันดีแล้วจริงๆ แต่…เชื้อมันก็ยังไม่หายไปทั้งหมด
Second Wave หรือคลื่นลูกที่สองของโควิดเข้าปะทะยุโรปทั้งทวีปอีกครั้งเมื่อฤดูร้อนจบลงและอากาศเริ่มจะหนาวขึ้น และครั้งนี้หนักกว่าครั้งแรก แม้เขาจะบอกว่าเรามีประสบการณ์มาก่อนก็ตาม แต่มันเริ่มเมื่อประมาณเดือนตุลาคม ที่ยอดผู้ติดเชื้อสูงขึ้นอีกครั้งเรื่อยๆ จากที่ทีแรกมีแค่หกพัน โรงเรียนกลับมาเปิด มันก็เริ่มทยอยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกแล้ว
จากวันละร้อย เป็นวันละพัน…ล่าสุดต้นเดือนพฤศจิกายน เป็นวันละหมื่น และยอด Active cases หรือผู้ติดเชื้อปัจจุบันสูงเกือบถึงสามแสนเข้าไปแล้ว (ยอด ณ วันนี้ 16 พ.ย. 2020 อยู่ที่เกือบๆ สองแสนเก้า)
มันเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อกลางเดือนตุลาคม เพื่อนที่โรงเรียนคนนึงดันติด ทั้งห้องโดนส่งเข้า Quarantine (โดนให้กักตัวอยู่บ้าน) 14 วัน…ทีนี้แหละ ช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่ทุกอย่างเริ่มจะลงเหวอีกครั้ง
แต่เฟิร์นต้องขอชมการจัดการของเจ้าหน้าที่ที่นี่มากๆ เพราะเจ้าหน้าที่ประจำเมืองเขาจะโทรตามทุกคนทีละคนเลยทีเดียว จะถามรายละเอียดว่าเราไปมีคอนแทคกับคนที่ติดตอนไหนบ้าง จะแจ้งให้ทราบว่าต้องทำยังไง และนัดเข้ามาตรวจเมื่อไหร่ (ตรวจฟรี) และตรวจทั้งที่สองเมื่อไหร่ รวมถึงมีการโทรมาเตือนก่อนวันไปตรวจ และเมื่อถึงวันที่สิ้นสุดการกักตัว เขาก็จะโทรมาแจ้งอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
ที่สำคัญก็คือ หากใครสูญเสียรายได้ช่วงที่กักตัวไป เขาชดเชยให้ด้วยนะเออ! และสำหรับคนที่ติดโควิดจริงๆ จะมีเจ้าหน้าที่โทรมาถามไถ่อาการทุกวัน วันละหลายรอบเลยด้วย ที่นี่เขาไม่ได้ให้ไปโรงพยาบาลนะถ้าอาการไม่หนัก แต่ถ้าใครฝืนไม่ยอมกักตัวคือโดนปรับบานแน่ๆ

พอออกจากกักตัวรอบนั้นมาได้ ทั้งประเทศก็ยอดพุ่งเอาๆๆ จนล่าสุดโดนล็อกดาวน์อีกแล้ว…คือปิดฟิตเนส สถานบันเทิง ร้านอาหารส่งได้แค่เดลิเวอรี โรงแรมรับได้แค่ผู้คนที่มาพักแบบ business หรือมาทำงานเท่านั้น ห้ามรับนักท่องเที่ยว เริ่มมีการปิดเมืองเป็นเมืองๆ มีกฏใหม่ขึ้นมาอีกมากมาย สถานการณ์ตึงเครียดมากเพราะยอดเพิ่มวันละเป็นหมื่นคือมันสูงกว่าตอนเดือนมีนาคมซะอีก
แต่ล็อกดาวน์ครั้งนี้ไม่มีการปิดโรงเรียน ซึ่งเอาจริงๆ ก็ไม่ค่อยจะเมกเซนส์ เขาถึงกับบอกกันเลยว่า “อ๋อ สรุปว่าโคโรน่านี่ติดได้เฉพาะเวลาไปเที่ยวเล่นใช่มั้ย (ถึงได้ปิดสถานท่องเที่ยวและบันเทิงทั้งหมด) ใครไปโรงเรียนคือไม่ติดสินะ” …เออ ฟังแล้วก็ได้แต่คิดตามว่ามันจริงๆ ด้วย
ในความคิดเฟิร์น สู้ปิดทุกอย่างไปก่อนสักสองอาทิตย์แล้วมาเริ่มต้นใหม่ตอนที่ทุกอย่างสงบลงแล้วมันอาจจะดีกว่านี้ ตอนเดือนมีนาคมกว่าจะยอมปิดโรงเรียนก็คือโค้งสุดท้ายจริงๆ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าไอ้ของที่ยังไงท้ายที่สุดแล้วก็ต้องปิดน่ะ จะไปยื้อมันเพื่ออะไร และตอนนี้เฟิร์นก็เห็นข่าวว่าเด็กนักเรียนติดกันและเริ่มปิดโรงเรียนทีละโรงเรียน…เฮ้อ กุมหัว
อย่างไรก็ตาม มาตรการล็อกดาวน์ครั้งที่ 2 นี้จะใช้จนสิ้นเดือนนี้เท่านั้น แต่เอาจริงๆ ทุกคนต่างก็ได้ยินมาแว่วๆ เหมือนกันว่ามีแนวโน้มว่าจะยืดออกไปอีกจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม…คือในใจเฟิร์นก็หวังว่าอย่างนั้นแหละ เพราะว่าสิ่งที่รออยู่เดือนหน้าคือเทศกาลวันคริสต์มาสและปีใหม่ที่เยอรมนีจะหยุดยาว และแน่นอนว่าต้องมีคนเดินทางไปเยี่ยมครอบครัวแน่ๆ ก็กลัวแต่ว่าสุดท้ายแล้วจะเอาโควิดไปฝากที่บ้านมากกว่าของขวัญน่ะสิ
ที่แน่ๆ ตอนนี้ตลาดคริสต์มาสได้ถูกยกเลิกหมดเกือบทั้งประเทศแล้ว…ซึ่งเป็นอะไรที่เศร้ามากกกก เพราะตลาดคริสต์มาสที่เยอรมนีสวยงามมากๆ และเป็นสิ่งที่เฟิร์นเฝ้ารอตลอดทุกปี แต่เพื่อให้ปีหน้าเราฉลองกันได้ ก็ยอมไม่ฉลองปีนี้ก็ได้
เอาตรงๆ บอกไม่ได้เลยค่ะว่าสถานการณ์จะเป็นยังไงต่อไป เพราะตราบใดที่เชื้อยังอยู่ มันก็กลับมาระบาดใหม่ได้เร็วมากๆ เราเห็นตัวอย่างกันแล้วจากตอนช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา (ซัมเมอร์ที่นี่คือประมาณเดือนมิถุนาถึงกลางๆ กันยานะ) เพราะฉะนั้นจะให้พูดว่าปีหน้าจะดีขึ้นก็ยังพูดไม่ได้เต็มปากเต็มคำ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น…เยอรมนีผลิตวัคซีนได้แล้ว (บริษัท BioNTech สัญชาติเยอรมันและบริษัท Pfizer) และเพิ่งเป็นข่าวดังเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเพราะวัคซีนนี้ใช้ได้ผลจริงและได้ผลมากถึง 90% ข่าวออกมาว่าบุคลากรทางการแพทย์ คนแก่และคนกลุ่มเสี่ยงจะได้รับวัคซีนก่อน ตามมาด้วยคนทั่วไป ตอนนี้สหภาพยุโรปมีการสั่งวัคซีนตัวนี้ถึง 300 ล้านโดส ซึ่งจะแบ่งกันใน 27 ประเทศ อังกฤษเองก็สั่งไว้เยอะมากเหมือนกัน หุ้นของบริษัทงี้พุ่งเอาๆ เลย และเขาคาดว่าในไตรมาสแรกของปีหน้าเราก็จะเริ่มได้รับวัคซีนกัน…ซึ่งเอาจริงๆ ถือว่าเร็วมากแล้ว เพราะเรื่องมันเริ่มจริงๆ เมื่อเดือนธันวาคมปี 2019 และประมาณปีกว่าๆ เท่านั้นเราก็จะได้วัคซีนกัน
อย่างไรก็ตาม เขาจะไม่บังคับว่าจำเป็นต้องฉีด จะเป็นความสมัครใจล้วนๆ…ส่วนตัวเฟิร์นคงไม่ฉีด เพราะเอาจริงๆ นี่คลุกคลีกับคนที่ติดเชื้อมา 2 คน เป็นคอนแทคตรงๆ เลย แบบเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุดแล้ว แต่อีนี่ไม่ติด แถมไปเที่ยวอังกฤษกลางช่วงที่กำลังระบาด อีนี่ก็ไม่ติดอีก และไปนู่นมานี่ทำงานในโรงแรมเจอผู้คนมากมายก็ไม่มีแนวโน้มว่าจะติด…บินกลับมาไทยกับคนกลุ่มเยอะๆ ตรวจไปก็ไม่ติดอีก! ถ้าไม่โชคดีมากๆ ก็คือต้องมีภูมิคุ้มกันสูง (ปีนี้ป่วยไปรอบเดียวตอนต้นปี) เพราะงั้นเฟิร์นก็คงจะไม่ฉีด
หลักๆ ก็เพราะมันเป็นวัคซีนที่เพิ่งคิดค้น ไม่มีใครรู้ได้เลยว่าฉีดแล้วจะป้องกันได้นานแค่ไหน และผลข้างเคียงในอีก 3 ปีหน้า 5 ปี หรือระยะยาวกว่านี้จะเป็นอย่างไร…เพราะงั้นในระหว่างที่มันยังไม่แน่นอนอย่างนี้ เราก็ยังไม่ขอเสี่ยงดีกว่า ส่วนตัวเฟิร์นมองว่ามันยังเป็นอะไรที่ติดกันเหมือนหวัด และเฟิร์นเองก็ไม่ได้ติดหวัดง่ายๆ แค่ล้างมือบ่อยๆ และไม่เอามือไปจับหน้าก็น่าจะยังอยู่รอดปลอดภัยต่อไปได้

และทั้งหมดนี้ก็คือสถานการณ์ + ประสบการณ์ที่เฟิร์นผ่านมาทั้งหมดตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมที่ไอ้เจ้า Covid-19 นี่เริ่มระบาด ปีนี้ใช้เวลา 1 ใน 12 เดือนหมดไปกับการกักตัวแล้ว (รอบแรกที่เพื่อนติดที่เยอรมนี + รอบสองตอนนี้ ที่เขียนอยู่นี่นั่งอยู่ในที่กักตัวเลย เพราะบินกลับมาจากเยอรมนี)
ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ก็งงๆ ว่าทำไมที่ไทยยอดมันไม่เพิ่มเลย ที่ติดๆ กันก็คือมีแต่พวกคนที่บินกลับมาจากต่างประเทศและอยู่ในที่กักตัวอยู่แล้ว เฟิร์นก็เป็นหนึ่งคนที่เคยคิดว่าหรือมันไม่ตรวจก็เลยไม่เจอ…แต่ลองๆ คิดดูอีกทีนะ ยอดคนตายมันซ่อนกันไม่ได้ และประเทศเราก็ไม่ได้มีคนตายจากโควิดเพิ่มเลย ถ้ามีคนป่วยจริงๆ มันเป็นไปไม่ได้ที่ ‘ทุกคนจะไม่มีอาการเลย’ เพราะยังไงมันก็ต้องมีคนที่เป็นหนักๆ อยู่บ้าง คนอายุน้อยในหลายประเทศยังอาการหนักเลย แต่นี่เราก็ไม่มีใครที่ป่วยหนักๆ ไปโรงพยาบาลแล้วปรากฏว่าติดโควิดนี่
เพราะงั้นมันอาจจะติดกันน้อยจริงๆ ก็ได้…เฟิร์นว่าหลักๆ ก็เพราะเราสวมหน้ากากกันตลอดเวลา คนไทยคือกลัวมาก ฮ่าๆๆ แต่มันก็เป็นข้อดีกันไปเลย ดูที่เยอรมันซิ ให้ใส่หน้ากากยังจะมาประท้วงว่าไม่อยากใส่ เสรีภาพของชั้น ไม่มีสิทธิ์มาบังคับ…บ้าบอ
ก็นะ เราคงจะต้องมาดูกันต่อไปว่าสถานการณ์จะกลับมาดีขึ้นเมื่อไหร่ ขอไม่ใช้คำว่า ‘กลับสู่ปกติ’ เพราะปกติคืออะไร เราไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้อีกแล้ว อันนี้เขาพูดกันเลยถ้วนหน้า อุตสาหกรรมที่โลกคิดว่าไม่มีทางเจ๊งอย่างอุตสาหกรรมท่องเท่ยวหรือการโรงแรมและการบินต่างเจ๊งกันถ้วนหน้า ต่อจากนี้ทุกฝ่ายต้องมีแผนปรับตัวไม่มากก็น้อยล่ะ อีกอย่างคนก็เริ่มจะตระหนักแล้วว่างานอะไรบ้างที่มันทำที่บ้านได้หรือมีตติงอะไรที่ไม่ต้องมาเจอหน้า เพราะฉะนั้นเราจะเปลี่ยนกันหลายอย่างแน่ๆ
ยังไงก็ขอให้ปีหน้าเป็นปีที่ดีกว่านี้ :) มีความเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้สามารถโพสทิ้งไว้ได้ข้างล่างนะคะ ต้องเป็นสมาชิกถึงจะโพสได้ แต่ก็ใช้แค่อีเมลเท่านั้น ไม่ถึงนาทีก็เสร็จแล้วววว
และไว้เจอกันค่ะ
xx
Fern
Instagram : fernniz.k
Twitter : fernniz
Facebook Page : fernniz
Comments