เฮลโหลซิส! บล็อกคราวที่แล้วเฟิร์นบอกไว้ว่าจะมาพาเที่ยว “พิพิธภัณฑ์” ในลอนดอนต่อ (ขอบอกว่าบล็อกเกี่ยวกับประเทศอังกฤษจะตามมาไม่หยุด ไปบ่อยจนเพื่อนถามแล้วว่าสรุปมึงอยู่ประเทศไหน ฮ่าๆๆ) เพราะงั้นวันนี้เฟิร์นก็เลยจะมาแนะนำ 6 พิพิธภัณฑ์ขึ้นชื่อในลอนดอนที่เคยไปมาให้ทุกคนอ่านกัน :)
ยอมรับว่าตอนอยู่ไทย เฟิร์นเป็นคนนึงที่แทบไม่มีความคิดจะไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ที่ไทยเลยยยย…ซึ่งเอาจริงๆ ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากๆ แต่บอกตามตรงว่าที่ไทยเราไม่ลงทุนกับอะไรแบบนี้และไม่ค่อยจะมีอะไรที่เอื้อให้ผู้คนอยากศึกษาหาความรู้นอกห้องเรียนสักเท่าไหร่ ผลก็เลยกลายเป็นว่าเรามีประชากรจำนวนมากที่โตมาและไม่รู้ว่าตัวเองอยากเรียนอะไร (เฟิร์นก็เคยเป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน)
แต่…พอมาเที่ยวอังกฤษ เฟิร์นกลายเป็นคนที่ชอบไปพิพิธภัณฑ์มากๆ ถามว่าเพราะอะไร?
ข้อแรกเลย พิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่ลอนดอนนั้นฟรี! แถมลอนดอนยังมีพิพิธภัณฑ์มากถึง 170 แห่ง! เขาประกาศกันเลยว่าคุณจะไม่มีวันต้องเสียเงินชมพิพิธภัณฑ์ในลอนดอน (หรือเมืองอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็ฟรี) เพราะประเทศอังกฤษนั้นส่งเสริมการเรียนรู้มากๆ และเชื่อว่าทุกคนควรมีสิทธิในการที่จะเข้าถึงความรู้อย่างเท่าเทียม
ข้อสอง…พิพิธภัณฑ์ที่นี่ฟรีก็จริง แต่ขอร้อง เขาไม่สร้างกันแบบไก่กานะคะ มันอลังการมากกกก! แบบแต่ละที่ที่ไปมาคือใหญ่โตมโหฬาร ถ้าตั้งใจจะศึกษาสิ่งต่างๆ อย่างจริงจัง แบบเดินแล้วอ่านหาความรู้ทั้งหมด ยังไงๆ วันเดียวก็ไม่มีทางพอแน่ๆ เวลาที่เฟิร์นไปเดินพิพิธภัณฑ์ที่ไหน เฟิร์นใช้เวลา 4-6 ชม.เป็นอย่างต่ำ เพราะมันมีอะไรที่น่าสนใจเยอะมากจริงๆ
และข้อสาม…ที่นี่มีพิพิธภัณฑ์หลากหลายมากๆ อีกทั้งยังขึ้นชื่อระดับโลก! เริ่มตั้งแต่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ (เกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ทั้งสิ่งมีชีวิต เพชรพลอยและบลาๆ) อย่าง Natural History Museum หรือพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับประเทศอังกฤษ (และประเทศอื่นๆ) ที่จัดแสดงนิทรรศการน่าสนใจมากมายอย่าง British Museum ไปจนพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่อย่าง Tate Modern และอีกมากมาย
และเหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่เฟิร์นชอบที่สุดก็คือการที่พิพิธภัณฑ์ต่างๆ เหล่านี้มักจะเวียนกันจัดนิทรรศการต่างๆ ที่ประชาชนสามารถสมัครเป็นเมมเบอร์ได้ด้วย (อันนี้เป็นนิทรรศการในพิพิธภัณฑ์ที่ต้องเสียเงินเข้านะ แต่ถ้าเมมเบอร์ที่จ่ายค่าสมาชิกไปแล้วก็จะเข้าดูได้ฟรีตลอดทั้งปี) และเฟิร์นก็เห็นว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่คอยไปเข้าเยี่ยมชมนิทรรศการพวกนี้ตลอดเวลา อย่างที่บอกว่าประเทศนี้เขามีวัฒนธรรมของเขาจริงๆ เราจะเห็นชาวอังกฤษอ่านหนังสือ รักศิลปะ ทำนู่นทำนี่อยู่ตลอด เป็นอะไรที่น่าดูมากๆ
เอาล่ะ เกริ่นกันพอแล้ว คราวนี้ก็ไปเที่ยวกันดีกว่า :)
1. Natural History Museum
เฟิร์นเอาพิพิธภัณฑ์นี้ไว้ที่แรกเพราะเป็นพิพิธภัณฑ์แรกที่เคยไปในอังกฤษ และซิสคะ…แค่ข้างนอกก็รู้สึกเหมือนกำลังจะก้าวเข้าไปในฮอกวอตส์แล้วค่ะ (หัวเราะ) Natural History Museum เนี่ยเขาไม่ได้มีแค่ที่อังกฤษนะ แต่ที่นิวยอร์กเองก็มีเหมือนกัน และที่นี่ก็เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่มีคนเข้าเยี่ยมชมเยอะที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของลอนดอนเลยทีเดียว ถามว่าข้างในมีอะไรบ้างงงง
เข้าไปปุ๊บก็จะเจอโครงกระดูกตลอดเลย ครั้งแรกที่เฟิร์นไปจำได้ว่าเขาเอาโครงกระดูกไดโนเสาร์มาโชว์ (ให้นึกถึงหนังเรื่อง Night at the Museum เป็นแบบนั้นเลย) แต่ครั้งล่าสุดที่ไปกลายเป็นปลาวาฬแขวนอยู่บนเพดานแล้ว อลังการเหมือนเคยจริงๆ…ที่นี่เขาจะแบ่งเป็นหลายห้องให้เราเลือกศึกษา ไม่ว่าจะเป็นห้องเกี่ยวกับไดโนเสาร์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นก แมลง ปลา จักรวาล ตลอดจนเพชรนิลจิณดาต่างๆ (เป็นห้องใหญ่ๆ ที่รวมอัญมณีจากทั่วโลกไว้เลยนะ) และอีกมากมาย คือเรียกได้ว่าศึกษาได้ทุกอย่างเกี่ยวกับธรรมชาติที่นี่เลย
ที่เฟิร์นชอบมากๆ คือเขามีห้องเก็บอัญมณีที่รวบรวมเพชรที่หาได้ตามธรรมชาติทั้งหมด 296 สีเอาไว้ด้วย และเพชรเหล่านี้นั้นเมื่อโดนแสงแบล็กไลท์จะให้สีเหมือนเรืองแสง สวยมากๆ เลย และเราก็ยังสามารถพบกับอัญมณี Blue Topaz ที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ที่นี่อีก!
นอกจากนั้นที่ Natural History Museum นี้เขายังมีจัดลานสเก็ตให้เล่นกันหน้าพิพิธภัณฑ์ในช่วงฤดูหนาวด้วย นี่เป็นภาพจากตอนที่เฟิร์นไปมาเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว
พลาดไม่ได้เลยจริงๆ การเดินทางมาก็แสนง่าย นั่ง Tube มาลง South Kensington และเดินเอาไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงแล้ว สถานี South Kensington เนี่ยจะเป็นสถานีที่อยู่ติดกับพิพิธภัณฑ์หลายแห่งเลยทีเดียว แถมเดินไปได้หมดเลย สะดวกมากๆ นอกจากนั้นก็ยังมีคาเฟ่ ร้านอาหาร ร้านหนังสืออยู่แถวสถานีด้วย ร้านหนังสือตรงนั้นชื่อ South Kensington Books เลย และข้างๆ กันนั้นยังมีร้านขายการ์ด กระดาษห่อของขวัญ น่ารักกรุบกริบ ใครมีโอกาสได้ไปต้องไปเดินนะ :)
2. V&A Museum (Victoria & Albert Museum)
นี่ก็เป็นอีกพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ตรงสถานี South Kensington และเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เรียกได้เลยว่าพลาดไม่ได้ เพราะว่าเขารวมศิลปะชิ้นต่างๆ จากทั่วโลกเอาไว้เลย ตอนที่ไปที่นี่เฟิร์นตั้งใจไปในวันศุกร์ เพราะว่าทุกวันศุกร์ที่ V&A นั้นเขาจะเปิดถึง 4 ทุ่ม คือแนะนำมากๆ ว่าถ้าไปวันศุกร์ได้ก็ให้ไปวันศุกร์เย็นๆ เพราะเฟิร์นไปถึงประมาณ 4 โมงและเดินเที่ยวจนเกือบ 4 ทุ่มเลย คนไม่พลุกพล่านและชั้นบนๆ ก็เงียบแบบที่เล่นซ่อนแอบได้เลย (แต่มีเจ้าหน้าที่ตลอดนะ) คือเหมือนทั้งพิพิธภัณฑ์เป็นของเรา ถ้าจะไปเดตก็คือโรแมนติกอ่ะเอางี้ (หัวเราะ)
ว่าแต่ว่าที่นี่มีอะไรบ้าง…เอาจริงๆ มีทุกอย่างเลยค่ะ ศิลปะจากยุโรป เอเชียและที่ต่างๆ ทั่วโลก กระทั่งจากประเทศไทยก็ยังมีเลย และมีทั้งรูปปั้น เสาและสิ่งก่อสร้างสไตล์โรมันขนาดใหญ่โต พรมผืนยักษ์ ภาพวาด เครื่องเงิน เสื้อผ้าจากยุคสมัยก่อนๆ คอสตูมประกอบหนัง มีกระทั่งห้องที่ให้เรียนรู้เกี่ยวกับการสร้างหนัง หรือห้องที่จัดแสดงศิลปะแขนงภาพถ่ายซึ่งเป็นห้องที่เฟิร์นชอบมาก และผลงานที่ทำให้เฟิร์นอดยิ้มไม่ได้ตอนที่เห็นก็คงจะเป็นผลงานของช่างภาพคนนึงที่ถ่ายรูปชีวิตประจำวันทั่วไปของผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาตามท้องถนน ก็คือเขาถ่ายรูปผู้คนทุกวัน และวันนึงเมื่อเขาย้อนกลับมาดู ก็พบว่าได้ถ่ายรูปคนคนเดิมซ้ำและกริยาท่าทางของคนเหล่านั้นยังคงเหมือนเดิมแทบจะทุกประการแม้ว่าจะเป็นภาพที่ถ่ายห่างกันนานเป็นปีๆ ก็ตาม
เพราะอย่างนี้แหละเฟิร์นถึงได้ชอบการถ่ายภาพ :)
อีกสิ่งหนึ่งที่เฟิร์นสังเกตก็คือหลังจากที่ไปพิพิธภัณฑ์มาจำนวนหนึ่ง เฟิร์นก็ค้นพบว่ามีศิลปะหลายชิ้นมากๆ ที่มาจากตระกูลชนชั้นสูงของอังกฤษอย่างตระกูล Cavendish (คาเวนดิช) ซึ่งเฟิร์นเคยเขียนนิยายถึงมาก่อน แล้วแต่ละชิ้นก็คือยิ่งใหญ่และสวยงามมาก ไม่ว่าจะเป็นอัญมณีมรกตขนาดยักษ์ (อยู่ในห้องจัดแสดงอัญมณีที่ Natural History Museum) หรือ พรมประดับผนังผืนโตใน V&A คือพออ่านป้ายแล้วรู้ว่าเป็นสมบัติของตระกูลนี้ที่เราเคยเขียนนิยายถึงมาก่อนมันก็ขนลุกอ่ะ แบบเห้ยยย ฉันเคยเขียนนิยายถึงพวกเขาแล้วตอนนี้ฉันมายืนดูสิ่งของจากตระกูลนี้จริงๆ คือไม่ธรรมดาที่แท้ทรูเลยตระกูลคาเวนดิชนี่! (ว่าแล้วก็อย่าลืมไปอ่านเฮนรีกับโรสแมรีให้หายคิดถึงนะ ฮ่าๆ – The Light To My Darkness กับ The Sunshine To My Heart นะจ๊ะ)
3. The British Museum
ในบรรดาพิพิธภัณฑ์ในลอนดอนทั้งหมดที่เคยไปมา ต้องบอกเลยว่าที่นี่คือที่สุดของที่สุดแล้วจริงๆ…เริ่มตั้งแต่ความใหญ่โตของมันเลย คือบอกเลยว่าเฟิร์นไปเดินมา 6 ชม.เต็มๆ แต่ก็ยังไม่พอ! ถ้าจะเดินและอ่านรายละเอียดแบบให้รู้ว่าสิ่งต่างๆ คืออะไรบ้างก็คงต้องใช้เวลาหลายวันเลยทีเดียว และจะบอกว่าให้จินตนาการถึงเรื่อง Night at the Museum เหมือน Natural History Museum ไม่ได้แล้ว…เพราะว่าที่นี่แหละ สถานที่ถ่ายทำของจริง! (ภาค 3 นะ) แล้วเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เฟิร์นชอบที่นี่มาก ก็คือเพราะว่ามันมีวัตถุโบราณจากหลากหลายสถานที่ แต่ที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นจากอียิปต์ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่เฟิร์นชอบเรียนรู้ที่สุด ถ้าพิพิธภัณฑ์ไหนมีเรื่องราวเกี่ยวกับมัมมี่หรืออะไรพวกนี้แล้วล่ะก็ เฟิร์นจะรีบพุ่งตรงไปทันที
แต่ที่นี่เขาไม่ได้มีแค่วัตถุโบราณนะ ยังมีทั้งสฟิงซ์ รูปปั้นจากอียิปต์และที่เป็นไฮไลท์ของพิพิธภัณฑ์เลยก็คือ “มัมมี่” นั่นเอง! แถมเขานำมาจัดแสดงกันแบบให้เห็นได้ชัดเจนเพียงแค่มีกระจกกั้น จะรู้เลยว่านี่คือโครงกระดูก ยังเห็นสัดส่วนต่างๆ ของความเป็นมนุษย์ เรียกได้ว่าถ้ามาเดินตอนกลางคืนก็คงหลอนเหมือนกัน ฮ่าๆ และนี่ก็ยังเป็นห้องที่มีคนมุงเยอะที่สุดในพิพิธภัณฑ์ด้วยนะ
นอกจากห้องที่เกี่ยวกับอียิปต์แล้ว ที่นี่ก็ยังมีห้องเกี่ยวกับแอฟริกา ญี่ปุ่น ศิลปะโรมันทั้งหลายทั้งแหล่ ฯลฯ และจะมีห้องโถงขนาดใหญ่ที่มีเจ้าหน้าที่ของทางพิพิธภัณฑ์นั่งตอบคำถามและให้เรามาลองสัมผัสวัตถุโบราณต่างๆ ด้วย ยิ่งฟังเรื่องราวจากปากพวกเขาก็ยิ่งทำให้เฟิร์นชอบประวัติศาสตร์มากขึ้นไปใหญ่ ต้องบอกเลยว่ามันน่าทึ่งจริงๆ ที่โลกของเรามีแต่อะไรที่น่าสนใจขนาดนี้…ใครที่ไม่เคยชอบการเรียนรู้หรือไม่ชอบวิชาประวัติศาสตร์ ยังไงก็ต้องถูกใจ British Museum ไม่มากก็น้อยแหละ
4. Sherlock Holmes Museum
มันคงจะเป็นไปไม่ได้ถ้าจะบอกว่าเราไม่เคยได้ยินชื่อนักสืบชื่อดัง เชอร์ล็อค โฮล์มส์มาก่อน…และประเทศอังกฤษที่เป็นบ้านเกิดของโฮล์มส์เขาก็ไม่พลาดที่จะสร้างพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับพ่อนักสืบผู้ชาญฉลาดและเก็บรายละเอียดทุกอย่างเอาไว้ตามหนังสือเป็นอย่างดี
ใช่แล้ว แม้เชอร์ล็อค โฮล์มส์จะเป็นเพียงตัวละครจากนิยายที่กลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างหนัง/ซีรีส์มากมาย (ที่เด่นที่สุดก็คงจะต้องเป็นเวอร์ชั่นสมัยใหม่ที่ Benedict Cumberbatch เป็นคนแสดง) แต่เพราะประสบความสำเร็จระดับโลกอย่างนี้ เขาก็เลยมีพิพิธภัณฑ์เป็นของตัวเองเลยทีเดียว แถมยังตั้งอยู่ถนน Baker Street ตามหนังสือเป๊ะๆ คือลงสถานี Baker Street ได้เลย เดินมานิดเดียวก็ถึงแล้ว พิพิธภัณฑ์เชอร์ล็อค โฮล์มส์นี้ตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ เป็นอาคารเล็กๆ สองหลังที่ด้านล่างเป็นร้านขายของที่ระลึก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นแค่นิยายแล้วเขาจะไม่ใส่ใจรายละเอียดนะ เพราะกระทั่งพนง.เขายังแต่งการตามยุคสมัยในหนังสือเป๊ะๆ ทั้งพนง.ขายของที่ระลึกและการ์ดที่ยืนอยู่หน้าบ้านเลย ถือว่าเป็นเอกลักษณ์มากๆ
ทีนี่นั้นต่างจากพิพิธภัณฑ์อื่นของลอนดอนเพราะไม่ได้มีขนาดใหญ่มากและต้องเสียเงิน (เป็นพิพิธภัณฑ์คนละประเภทกับ 3 ที่ก่อนหน้านี้เนอะ อันนี้ต้องคนที่ชอบจริงๆ เท่านั้นถึงจะมากัน) ราคาตั๋วคือ 15 ปอนด์และเราก็จะได้ชมบ้านของโฮล์มส์พร้อมกับไกด์ที่คอยอธิบายประวัติต่างๆ สิ่งหนึ่งที่น่าประทับใจก็คือทุกคนที่นี่แสดงออกเหมือนว่าเชอร์ล็อค โฮล์มส์คือคนจริงๆ ที่เคยอาศัยอยู่ที่นี่และไม่ได้เป็นเพียงตัวละครในนิยาย กระทั่งห้องนั่งเล่น ห้องนอนของโฮล์มส์ก็ยังเก็บรายละเอียดกันอย่างถี่ถ้วน มีการสร้างกระทั่งรูกระสุนบนผนังซึ่งโฮล์มส์ใช้ปืนยิงเอาไว้เป็นตัวอักษร VR ด้วยซ้ำ
พิพิธภัณฑ์นี้มีทั้งหมด 4 ชั้น (ถ้านับรวมชั้นล่างที่เป็นร้านขายของที่ระลึก) และชั้นบนจะมีหุ่นขี้ผึ้งหลอนๆ อยู่ด้วย ฮ่าๆ นอกจากนั้นก็ยังมีส้วมอยู่ตรงทางขึ้นไปห้องใต้หลังคา คิดว่าคงเป็นรายละเอียดมาจากในหนังสืออีก ก็ตลกดี สำหรับคนที่เป็นแฟนตัวจริงคงจะถูกใจมากๆ ขนาดเฟิร์นดูแต่ซีรีส์กับโคนัน (ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องนี้อีกที) ยังชอบเลย ข้อเสียก็คือที่นี่ไม่ได้ใหญ่มากนัก เรียกว่าเป็นบ้านหลังนึงก็จะว่าได้ และถ้าเทียบกับราคาก็อาจจะถือได้ว่าแพงนิดหน่อย ใครชอบก็ลองไปดูค่า
5. Tate Modern
ถ้าหากใครอ่านบล็อกที่แล้วของเฟิร์น ก็คงจะจำได้ว่าเฟิร์นเมนชั่นพิพิธภัณฑ์นี้ไปแล้ว Tate Modern ที่อยู่ตรงสะพาน Millennium Bridge อันเลื่องชื่อนั่นเอง ต้องบอกก่อนว่าเฟิร์นน่ะชอบพิพิธภัณฑ์ในลอนดอนมากๆ แต่ดูเหมือนพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่อย่าง Tate Modern นี้จะไม่ใช่แนวเลยจริงๆ ฮ่าๆ ก็คืออย่างพิพิธภัณฑ์อื่นๆ เฟิร์นคงกลับไปเดินอีก แต่ Tate Modern นี้มาครั้งเดียวก็คงพอแล้ว (สำหรับเฟิร์นนะ)
ก็ตามชื่อพิพิธภัณฑ์เลยค่ะ ที่นี่เขาจัดแสดงแต่ศิลปะสมัยใหม่ ซึ่งงงงง…เฟิร์นไม่ค่อยจะเก็ทศิลปะแขนงนี้สักเท่าไหร่ บางทีก็มีพรากสติกขนาดยักษ์วางอยู่กลางห้อง หรือเศษเหล็กบนพื้น แล้วก็บอกว่าเป็นศิลปะ เฟิร์นก็แบบว่าทำไมมมมม มันคืออะไร ฮ่าๆๆ เอาจริงๆ จะไปเดินที่นี่ต้องอ่านเยอะๆ เพราะหลายอย่างดูแล้วไม่เข้าใจจริงๆ คือพวกที่เป็นภาพวาดหรืออะไรอย่างนี้ยังพอเก็ทอยู่บ้าง แต่บางอย่างก็ดีปซะจนไม่เข้าใจเลย ฮ่าๆ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีศิลปะที่เฟิร์นไม่ประทับใจเลยนะ เพราะมีศิลปะของศิลปินอเมริกันคนนึงที่เฟิร์นดชอบมาก เขาคือ Ed Ruscha นั่นเอง จากประวัติเนี่ยเขาเป็นศิลปินที่มักใช้ความเคลื่อนไหวและศิลปะแบบ Pop Art มาประสานกัน ทั้งทำงานในอุตสาหกรรมถ่ายภาพ ฟิล์ม โฆษณา ภาพวาดและอื่นๆ มานับไม่ถ้วน แล้วภาพชิ้นแรกของเขาที่ทำให้เฟิร์นสะดุดตาเลยก็คือภาพนี้…ภาพคำว่า Dance ที่ดูเผินๆ เหมือนจะธรรมดา แต่พออ่านปุ๊บต้องร้องโหขึ้นมาทันที
เพราะมันเขียนโดยใช้ไข่ขาว มัสตาร์ด และกาแฟ! แบบเห้ย…คืออะไรอ่ะ คิดได้ยังไง คิดอะไรอยู่ตอนที่จะเขียน หิวเหรอ หรือว่ากำลังกินอาหารเช้าแล้วปิ๊งไอเดีย นี่ถ้าไม่เข้าไปดูใกล้ๆ จะไม่รู้เลยนะว่ามันเป็นคราบของอาหาร เล่นเอาเฟิร์นนี่สงสัยไปหมด แถมห้องที่เป็นนิทรรศการของเขาก็มีแต่งานน่าสนใจทั้งนั้น
Ed Ruscha เนี่ยมีภาพที่ถ่ายตึกและอาคารต่างๆ ใน LA ซึ่งเป็นภาพฟิล์มที่เขาเอามีดโกนมากรีดฟิล์มเนกาทีฟอีกทีจนทำให้ดูเหมือนเป็นภาพเก่า หรือไม่ก็เป็นภาพสระว่ายน้ำในโมเทลถูกๆ ที่ LA ที่ถ่ายเอาไว้หลายที่มากจนรวมได้เป็นคอลเลกชั่น และที่ทำให้ต้องงงไปอีกก็คือภาพถ่ายมุมสูงจากลานจอดรถ 30 ที่ใน LA ซึ่งถ่ายด้วยการนั่งเฮลิคอปเตอร์ถ่าย!
คือยังไงดีอ่ะ…แบบถ้าถ่ายมาที่เดียวมันก็จะเฉยๆ ป่ะ แต่ศิลปินคนนี้เขาติสท์ถึงขนาดไปไล่ถ่ายมานับไม่ถ้วน แล้วแบบว่าคิดได้ยังไงว่าจะทำอย่างนี้ มันน่าสนใจตรงความคิดของเขานี่แหละ ตรงที่ว่าคอนเซ็ปต์พวกนี้ไปเอาไอเดียมาจากไหน แต่เนี่ยแหละ…สิ่งหนึ่งที่ทำให้เฟิร์นชอบศิลปะ เอาจริงๆ ถ้าดูเฉยๆ และไม่อ่านอะไรเลยก็คงจะแค่เป็นภาพงั้นๆ แต่พอมาเดินดูและอ่านจริงๆ ก็ทำให้พบกับอะไรน่าสนใจอีกมาก
ปัจจุบันเราอ่านหนังสือกันน้อยมากๆ อยากให้อ่านสิ่งต่างๆ รอบกายกันเยอะๆ นะคะ สิ่งของพวกนี้น่าสนใจและให้แรงบันดาลใจได้ดีมากเลย :)
6. National Gallery
อีกสถานที่หนึ่งที่นับว่าขึ้นชื่อไม่น้อยของลอนดอน เพราะว่าตั้งอยู่ตรงแลนด์มาร์ก Trafalgar Square นั่นเอง…ตอนที่เฟิร์นไปเที่ยวที่นี่นั้นเป็นวันที่ 14 มีนาแล้ว สถานการณ์ Covid-19 แย่ลงทุกวันและเกือบจะดิ่งลงเหว (หลายประเทศเริ่มปิดประเทศ และไม่กี่วันหลังจากนั้นก็มีคำสั่งให้งดการเดินทางออกมา) แต่ Trafalgar Square ก็ยังครึกครื้นและมีคนเยอะมากเหมือนว่าโลกไม่ได้มีวิกฤตอะไร เป็นภาพที่เห็นได้ทั่วไปเลยในลอนดอนเวลาปกติ…และเราก็น่าจะเคยเห็นจัตุรัสนี้ในหนังมาบ้าง มันคือจัตุรัสที่มีสิงโตล้อมรอบสี่ด้านและตั้งอยู่ไม่ไกลจากริมแม่น้ำเทมส์ ตรงนี้น่าจะเป็นจุดยอดฮิตที่คนนิยมมาถ่ายภาพเลยเพราะด้านหลังมองไปเห็นชิงช้าสวรรค์ลอนดอนอายด้วย
ที่หน้าแกลเลอรีนี้เขามีการแสดงด้วยนะ เป็นพวกการแสดงโชว์ห่วยต่างๆ ที่เราเห็นกันตามท้องถนน นอกจากนั้นก็ยังมีคนที่มาวาดภาพธงชาติของประเทศต่างๆ อยู่ด้านหน้าแกลเลอรีด้วยเหมือนกัน แล้วผู้คนก็จะทยอยไปวางเงินให้รางวัลเขากันบนธงชาติที่เป็นประเทศของพวกเขาเอง เห็นแล้วก็คิดถึงประเทศไทย เพราะถ้าเป็นที่ไทยคงทำไม่ได้ และไม่มีใครทำ + ไม่มีใครมามุงดูเพราะร้อน ฮ่าๆ
แต่ก็ตามชื่อเนอะ ที่นี่เป็นแกลเลอรีแห่งชาติ เพราะฉะนั้นจึงมีแต่ภาพวาดต่างๆ จึงค่อนข้างจะเป็นอะไรที่เฉพาะทางหน่อย เขาจะมีห้องแสดงภาพวาดเกี่ยวกับศาสนาล้วนๆ และห้องที่แสดงภาพสไตล์อื่นๆ จากศิลปินหลากหลายคนทั่วโลก เอาจริงๆ ภาพวาดก็ไม่ใช่สไตล์เฟิร์นซะทีเดียวเหมือนกัน แต่ที่น่าทึ่งคือภาพส่วนใหญ่ที่มีอายุเป็นร้อยๆ ปีแล้วแต่สียังสดอยู่เลย และมันก็จะมีบางภาพที่ใช้สีทองเป็นส่วนประกอบและสีทองมันก็ยังเด่นชัดมากๆ นอกจากนั้นที่นี่ก็ยังมีโถงขนาดใหญ่ที่ตกแต่งเสียสวยงาม ไปเดินเพลินๆ ดูภาพก็สนุกดีเหมือนกัน ถ้าไปลอนดอนก็ควรจะไปเยือนดูสักครั้งนะคะ :)
และทั้งหมดนี้ก็คือพิพิธภัณฑ์ 6 ที่ในลอนดอนที่เฟิร์นเคยไปเยือนมา อันที่จริงนอกลอนดอนก็มีพิพิธภัณฑ์น่าสนใจอีกเพียบเลยนะ อย่างที่ลิเวอร์พูลก็มี World Museum พิพิธภัณฑ์สโมสรลิเวอร์พูล และอื่นๆ ที่ยอร์กก็มีพิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลต พิพิธภัณฑ์ไวกิง ที่ไบรตันก็มีวัง Royal Pavilion อีกที่เคยไปเยือนมา ไว้มีโอกาสจะมาเล่าให้ฟัง
อย่างไรก็ตาม กดเป็นสมาชิกของเว็บนี้ได้นะคะ :) แค่ต้องกรอกอีเมลเท่านั้นเอง และเมื่อไหร่ที่มีการอัพเดตบล็อกใหม่ ทุกคนก็จะได้รับอีเมลแจ้งเตือน จะได้ไม่พลาดเพราะเฟิร์นยังมีบล็อกเกี่ยวกับประเทศอังกฤษและเยอรมนีที่แพลนจะเขียนอยู่อีกเยอะมาก
อย่างที่บอก…เที่ยวในโลกแห่งความจริงไม่ได้ เราก็ไปเที่ยวแบบออนไลน์กันก่อนเนอะ!
แล้วเจอกันค่ะ
Fernniz
xx
Instagram : fernniz.k
Twitter : fernniz
Facebook Page : fernniz
תגובות