top of page

HOW I LEARN ENGLISH | เรียนภาษาอังกฤษยังไงให้ใช้เป็น! [Thai post]


เฮลโหลทุกคน!

บล็อกวันนี้มีสาระอีกแล้ว เพราะเฟิร์นจะมาเผยเคล็ดลับที่เฟิร์นใช้ในการเรียนภาษาให้ทุกคนรู้กัน เรียกร้องกันเข้ามามากมายเหลือเกินนนน ส่วนใหญ่หลายคนรู้จักเฟิร์นจากนิยาย และมักเห็นที่เฟิร์นใช้ภาษาอังกฤษ/ภาษาเยอรมัน ประกอบกับที่เนื้อเรื่องดำเนินที่ต่างประเทศซะส่วนใหญ่ แล้วก็มักจะมาถามว่าเฟิร์นเรียนภาษายังไง วันนี้แหละ ทุกคนจะได้คำตอบที่ละเอียดแน่นอน! มาเริ่มกันเลย!


1. Reading

อ่านจ้ะ! ง่ายที่สุดและเบสิกที่สุดคือการเริ่มจากการอ่าน จะเริ่มจากอ่านนิทานเด็ก วรรณกรรมเยาวชน (ไม่แนะนำแนวแฟนซีอย่างแฮร์รี พอตเตอร์สำหรับมือใหม่นะจ๊ะ เพราะคำศัพท์ยากเว่อร์) นิยายรักภาษาอังกฤษหรืออะไรก็แล้วแต่ และเชื่อเถอะว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ไม่ได้ใช้อังกฤษเป็นภาษาแม่ต่างก็ประสบปัญหาเดียวกัน…คืออ่านแล้วเจอคำศัพท์ที่ไม่รู้ แต่อย่าเพิ่งท้อแท้นะ เพราะจะบอกให้ว่าทุกวันนี้เฟิร์นก็ยังประสบกับปัญหานี้อยู่เลย แต่ถามว่าเจอแล้วแก้ไขยังไง?

อันดับแรกให้อ่านทั้งประโยคก่อน ดูว่าเราแปลคำไหนได้ พอแปลแล้วเข้าใจบ้างไหม ถ้าไม่เข้าใจแนะนำให้อ่านประโยคก่อนหน้า หรือประโยคที่ตามมา ถ้าเข้าใจอยู่บ้างก็เข้าทางล่ะ เดาเลย! เอ้อ นี่ให้เดาจริงๆ นะ คนเรามีสิ่งที่เรียกว่า Intuition (เซนส์หยั่งรู้) ยกตัวอย่างประโยคดังต่อไปนี้

He looks familiar. I definitely know him from somewhere.

สมมติเราไม่รู้ว่าคำว่า familiar แปลว่าอะไร แต่เราแปลได้ว่าเออ ประโยคหลังเนี่ยพอเข้าใจอยู่นะว่ามันแปลว่า “ฉันต้องรู้จักเขาจากที่ไหนสักแห่งแน่ๆ” ทีนี้เราก็กลับมาดูประโยคแรก เรารู้ว่า “He looks….” เนี่ย แปลว่าเขา “เขาดู…” (อะไรสักอย่าง) ไหนลองเอาสิ่งที่เรารู้มารวมกันซิ “เขาดู…” + “ฉันต้องรู้จักเขาจากที่ไหนสักแห่งแน่ๆ” คนเราไม่พูดอะไรลอยๆ อย่าง “นี่แก ฉันว่าฉันเคยเห็นหน้าคนนี้” หรอก แต่จะพูดว่า “แก คนนี้หน้าคุ้นจัง ฉันว่าฉันเคยเห็นเขามาก่อน” ก่อนป่ะ?

บิงโก! “familiar” (adj.) แปลว่า “คุ้น” หรือ “คุ้นเคย” นั่นเอง

เห็นไหม ง่ายนิดเดียว! แต่เดี๋ยวมีคนถาม “พี่เฟิร์น แล้วถ้าหนูแปลไม่ได้สักคำจะทำยังไงดี” คำตอบก็คือต้องพึ่งพจนานุกรมก่อนค่ะอันนี้ (หัวเราะ) แต่ไม่ต้องแปลทุกคำก็ได้นะ มันจะทำให้อ่านขาดตอน เสียอถรรสแล้วก็กลายเป็นว่าไม่สนุกไป ลองแปลบางคำแล้วเดาเอา ดูว่ามันเมกเซนส์ไหม แนะนำให้เปิดพจนานุกรมเฉพาะตอนที่ติดใจและอยากรู้จริงๆ ก็พอ

การอ่านหนังสือภาษาอังกฤษจะช่วยให้เราได้คำศัพท์เยอะมาก จากประสบการณ์ของเฟิร์นก็คือเรามักจะเจอคำซ้ำๆ ในหนังสือเรื่องเดียวกัน เพราะฉะนั้นมันก็เป็นเหมือนการติวไปในตัว นอกจากนั้นการอ่านยังช่วยในเรื่องการเขียน เออ…เชื่อไหมล่ะ มันช่วยจริงๆ เพราะเราจะเห็นรูปแบบโครงสร้างของประโยคที่หลากหลาย

แต่ข้อเสียก็มีนะ นิยายบางเรื่องคำศัพท์สแลงเยอะ แถมสำนวนก็เยอะอีก ถ้าเราไม่รู้ว่านี่มันเป็นสแลงหรือสำนวนก็อาจจะเกิดอาการงงเต๊กได้ แต่ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่นค่ะ ไม่มีใครเก่งแต่แรกหรอก คีย์ของมันก็คือการลองทำดู!

สำหรับหนังสือภาษาอังกฤษนั้นเฟิร์นมีแนะนำอยู่ในบล็อกเก่าๆ แล้ว ไปทางนี้เลย : https://goo.gl/ippsy1


2. Music

ขอแนะนำข้อนี้รัวๆ เพราะนี่เป็นวิธีแรกที่เฟิร์นใช้เรียนภาษาและมันใช้ได้ผลมากกก แถมไม่น่าเบื่ออีกต่างหาก มันก็คือการฟังเพลงสากลนั่นเอง! ซิสคะ ทุกวันนี้เราฟังเพลงสากลเยอะมาก อย่างเพลงพี่ Ed Sheeran งี้ ใครไม่เคยได้ยิน Shape of you, Thinking out loud หรือ Perfect บ้าง โอ๊ย เปิดกันทั่วบ้านทั่วเมือง ทั่วทุกร้านค้า บีทีเอสก็เปิด วงดนตรีในร้านเหล้าก็เอามาเล่นอีกเอ้า!

คำถามก็คือ ฟังแล้วรู้ว่าเพราะ แต่เคยรู้ความหมายกันหรือเปล่า?

บางคนนี่ก็ไม่รู้จริงๆ นะ รู้แต่ว่าเออ มันเพราะดี…ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ถ้าสังเกตหรือมีความสงสัยกันนิดหน่อยและไปหาเนื้อ หาคำแปลดู ขอรับประกันเลยว่าจะอินมากขึ้นอีก 100% เพราะการเรียนคำศัพท์จากเพลงที่เราชอบและสามารถจำได้แล้วน่ะมันง่ายที่สุดแล้ว อย่างเพลง Perfect ของ Ed Sheeran เนี่ย ถ้าเป็นคนฟังเพลงเอาความหมายด้วย (เพราะมันถือเป็นหนึ่งในเพลงที่โรแมนติกที่สุดในโลกแล้ว) จะถึงกับต้องสงสัยเลยว่า “คนบ้าอะไร ต้องอินเลิฟขนาดไหนถึงจะแต่งเพลงรักโรแมนติกขนาดนี้ได้” เพราะมันบรรยายทุกอย่างเลยเว้ย แบบเออ “I don’t deserve this. You look perfect tonight.” (ฉันไม่คู่ควรกับสิ่งนี้ [ความรักของเธอ] เลย เธอดูสมบูรณ์แบบเหลือเกินในค่ำคืนนี้) ถ้าฟังแบบผิวเผินเราจะรู้ไหมว่าพี่เอ็ดเขาสรรเสริญคนรักของเขาขนาดนี้ ขนาดที่เปรียบเธอกับนางฟ้า (I have met an angel in person.) สูงส่งจนรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรเลยเนี่ย

ถือเป็นวิธีที่แนะนำมากๆ นะ เฟิร์นเป็นหนึ่งคนแหละที่ชอบเพลงที่ความหมาย ยิ่งถ้าชอบเพลงไหนแล้วนี่จะหาเนื้อจนร้องได้ทุกเพลง (เพลงในมือถือ 500-600 เพลงนี่ร้องได้เกือบหมด) ยกตัวอย่างอีกเพลงคือเพลง All to well ของ Taylor Swift ที่โคตรเศร้า แถมเปลี่ยนท่อนฮุคทุกท่อน ฟังแล้วเหมือนกำลังอ่านนิยายก็ไม่ปานเพราะนางเล่าตั้งแต่ต้นของความสัมพันธ์เลย ลองไปหาฟังดูได้

เอาล่ะ ทีนี้วันนี้ลองเลือกเพลงสากลที่ชอบมาสักเพลงนะ ไปหาเนื้อและคำแปลดู มันอาจจะมีอะไรที่คุณไม่รู้อยู่ก็ได้!


3. Youtube

แกเอ๊ย… ดีและฟรีที่สุดในโลกแล้ววิธีนี้ Youtube มันมีอะไรมากกว่าแค่เพลงนะคะซิส ชาแนลสอนภาษาอังกฤษดีๆ ก็มีอยู่เยอะมาก หาอะไรในกูเกิลไม่เจอก็นี่แหละ มายูทูบ! สารภาพเลยว่าเฟิร์นสอบ IELTS พาร์ทฟังได้ 8 เต็ม 9 ก็เพราะยูทูบนี่แหละ! แต่ทำยังไงน่ะเหรอ…

ติดตามพวก Youtuber ค่ะ…ไม่แนะนำ Youtuber ชาวอังกฤษสำหรับมือใหม่ เพราะอาจทำให้รู้สึกว่าภาษาอังกฤษยากกว่าเดิมก็เป็นได้ ด้วยความที่สำเนียงบริทิชนั้นฟังยากเหลือหลาย (แต่สำหรับเฟิร์นนั้นเฟิร์นตามชาวอังกฤษเป็นหลัก) ไปเลย ตามติดชีวิต Youtuber หรืออีกชื่อที่เขาเรียกกันว่า Vlogger พวกกลุ่มคนที่อัดชีวิตตัวเอง ทำคลิปแกล้งเพื่อน บลาๆ น่ะ ตามไปเลยค่ะซิส ตามแค่คนเดียวแต่รับรองว่าจะเจออีกเป็นขโยง ส่วนใหญ่ก็เพราะ Vlogger เหล่านี้มักแฮงค์เอาท์ด้วยกัน เราดูคนนึงก็อยากดูเพื่อนของเขาด้วย

เฟิร์นคิดเสมอว่ามันเป็นอาชีพที่น่าสนใจมาก Vlogger หลายคนก็แค่อัดชีวิตประจำวันของตัวเอง แต่เออมีคนติดตามเป็นล้านๆ เหตุผลมันน่าจะคือการที่คนเรามีธรรมชาติที่อยากรู้ว่าคนอื่นใช้ชีวิตยังไงทำอะไรบ้างในแต่ละวัน การติดตามดูกลุ่มคนเหล่านี้จะไม่เพียงแต่ช่วยให้เราได้เรียนภาษาอังกฤษ (ฟังเยอะก็จำเยอะ ได้สำเนียงดีอีกต่างหาก) แต่ผลพลอยได้อีกอย่างคือมักได้แรงบันดาลใจ เหล่าคนดังในยูทูบมักมีไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจ หลายคนมีมุมมองบวกมากกก บางครั้งถ้ามาดูตอนเครียดๆ นี่ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นเลยก็มี นอกจากนั้นเรายังได้รู้วัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ ถ้าดูติดต่อกันในระยะหนึ่ง อย่างเฟิร์นนี่ไปรู้มาว่าอังกฤษมี Pancake Day เอ้า เคยได้ยินกันไหมล่ะ!

เฟิร์นจะเขียน Blog แนะนำยูทูบเบอร์อย่างละเอียดทีหลัง แต่ตอนนี้เอาแค่ชื่อไปก่อนนะ

ฝั่งมะกัน :

Liza Koshy (นางมุกเยอะ ถ้ายังไม่โปรอาจไม่เข้าใจ)

David Dobrik (หยาบหน่อยนะจ๊ะ บางทีก็พิเรนทร์ แต่ฮาเว่อร์ เกือบทุกคลิปของนางยาว 4.21 นาทีเป๊ะ)

Tyler Oakley (คนนี้เป็นเกย์ ดังจนไปทำรายการให้ Ellen แล้วจ้า)

Connor Franta (เกย์อีกเหมือนกันจ้า แต่นางน่ารักกก)

ฝั่งบริทิช :

Zoella (Zoe Sugg – ที่สุดของความครีเอทีฟ สวย น่ารัก ตลก เก่ง เฟิร์นรักสุดแล้ว)

Pointlessblog (Alfie Deyes – แฟนของโซอี้ คิดบวก ให้แรงบันดาลใจมากกก บ้านของสองคนนี้งามงดสุดยอดดดด!)

ThatcherJoe (Joe Sugg – น้องชายโซอี้ คุณคะ ฮากว่านี้ไม่มีแล้ว พ่อคุณเขาถนัดคิดเกมพิลึกมาเล่น ตลกสุดๆ)

Niomi Smart (สายเฮลตี้มาทางนี้ นางเป็น Vegan มีไลฟ์สไตล์ที่เฮลตี้มากกก ดูบ่อยๆ นี่อยากเป็น Vegan ตามเลยทีเดียว)


4. Films & TV Series

เป็นอีกข้อที่ง่ายมากจ้ะ ใครที่อยากฝึกภาษาอังกฤษแต่ยังดูหนังพากย์ไทยอยู่ขอให้หยุดดดด…หยุดซะเดี๋ยวนี้! นอกจากหนังพากย์จะไร้อารมณ์ไม่เหมือนฟังเสียงต้นฉบับจริงๆ แล้ว คุณก็ยังจะพลาดการเรียนรู้ที่ง่ายที่สุดไปด้วย หลายคนบอกว่าไม่ดูซับเพราะขี้เกียจอ่าน ไปเลยยยย ไปเปลี่ยนความคิดมาใหม่

ถ้าอยากจะเก่งอังกฤษ ต้องดูทุกอย่างเป็น Soundtrack เท่านั้น วิธีมีอยู่ว่า…ถ้าดูซีรีส์ตอนนึง ครั้งแรกให้ดูเป็นซับไทยให้เข้าใจ เสร็จแล้วกลับมาย้อนดูอีกครั้งเป็นซับภาษาอังกฤษให้รู้ว่า “เฮ้ย ไอ้ที่แปลอย่างนี้เขาพูดกันแบบนี้เหรอ” เชื่อเฟิร์นสิ เราจะต้องคิดอย่างนี้แน่นอน

และถ้าโปรเมื่อไหร่ ให้ดูแบบไม่ต้องมีซับไปเลย ถามว่าทำไม…คำตอบก็คือเวลาที่เราดูแบบไม่มีซับ เราจะตั้งใจฟังมากกว่าปกติ ถ้าเราทำแบบนี้จนชิน รับรองเลยว่าต่อไปฟังฝรั่งพูดสบายบรื๋อ แถมมันยังช่วยให้เราได้สำเนียงมาโดยธรรมชาติด้วยนะ! ทุกวันนี้เวลาดูซีรีส์คือถ้าไม่ดูแบบซับอังกฤษ เฟิร์นก็จะดูแบบไม่มีซับไทยไปเลย

ข้อควรระวัง : เช่นเดียวกับยูทูบ ซีรีส์อังกฤษจะฟังยากกว่าอเมริกัน โปรแค่ไหนทุกวันนี้เฟิร์นก็ยังไม่สามารถดู Sherlock แบบไม่มีซับได้เพราะพี่ Benedict Cumberbatch เขาพูดรัวอย่างกับพายุ และระวังความแตกต่างระหว่างอังกฤษกับอเมริกันนะจ๊ะ คนไทยเราเรียนผสมกันมา แต่เราควรเลือกสักอย่างว่าจะพูดตามแบบอังกฤษหรือแบบอเมริกัน หลายคำก็ออกเสียงไม่เหมือนกัน หรือไม่ก็ความหมายไม่เหมือนกันไปเลย อย่างเฟิร์นหนักไปทางบริทิชมาโดยตลอด บางทีก็งงว่าเอ๊ะ อเมริกันใช้อย่างนี้เหรอวะ เช่น เฟิร์นจะชินกับการใช้คำว่า Transport เวลาพูดถึงระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งนี่เป็นแบบอังกฤษ ใช้เป็นได้ทั้งคำนามและกิริยา แต่อเมริกาเรียกคำนามตัวนี้ว่า Transportation แกกกกก!


5. Games

พ่อแม่ใครไม่ให้เล่นเกมจ๊ะ…มันหมดยุคนั้นแล้วหรือเปล่า ขอบอกเลยว่าเกมนี่แหละอีกตัวฝึกภาษาชั้นยอดดด ด้วยความที่เฟิร์นโตมาในบ้านที่มีน้องกับน้าเป็นผู้ชาย ก็เลยโดนไซโคให้เล่มเกมทุกอย่างมาตั้งแต่เด็ก ขอให้พูดชื่อมาเถอะ นี่เคยเล่นหมดแล้ว (หัวเราะ) ไม่ว่าจะเกมตลับ (Family) Playstation 2, Playstation 4 หรือเกมคอม เล่นมาหมด! ตั้งแต่เกม Contra ไปยัน Red Alert และปังย่าเลยเอ้า!       

ที่เฟิร์นจะบอกก็คือ เกมพวกนี้มักมาในรูปแบบภาษาอังกฤษ แล้วเราก็จะเรียนรู้ภาษาอังกฤษพวกนี้ผ่านการเล่นเกมโดยอัตโนมัติ (แบบที่ยังไม่ทันรู้ตัวเลย) โดยเฉพาะเกม Playstation 4 ในสมัยใหม่ที่มักมาในรูปแบบของเกมทางเลือก คือเหมือนหนัง มีบทสนทนา (ภาษาอังกฤษ) มีเนื้อเรื่องและทางเลือกให้เราเลือก และพวกบทสนทนาหรือคำพูด ชื่อสิ่งของต่างๆ ที่เหล่าเห็นในเกมที่มันไม่มีภาษาไทยพวกนี้นี่แหละที่ทำให้เราได้เซ็ทคำศัพท์อีกเซ็ทที่คนอื่นเขาไม่มีกัน เช่น คนที่เล่นเกมที่ต้องเก็บของบ่อยๆ มักจะเจอคำนี้ Artifact ปกติเวลาเล่นเกมเราก็เรียก “ของ” หรือไม่ก็เรียกทับศัพท์ไปเลย แต่ความจริงแล้ว Artifact หมายถึงวัตถุที่สร้างโดยมนุษย์นั่นเอง จะเรียกของก็ไม่ผิดหรอกกกก

ไปค่ะ เย็นนี้ โหลดเกม!


6. Signs + Menus

ข้อสุดท้ายนี้คือสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรามากกก แต่เรามักไม่สังเกตเลย…ป้ายจ้ะ ป้าย ป้ายทุกที่ ทุกหนแห่งที่เราไป แต่ถามว่าเวลาเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตเรามองตัวหนังสือภาษาอังกฤษที่อยู่ใต้ตัวหนังสือภาษาไทยไหม…น้อยมาก! เคยสังเกตภาษาอังกฤษที่อยู่ข้างใต้ภาษาไทยบนป้ายบอกทางสีเขียวๆ บนถนนหรือเปล่า รู้ไหมทางหลวงเรียกอะไร ทางด่วนเรียกอะไร ด่านเก็บเงินเรียกอะไร ถ้าไม่รู้ กลับบ้านเย็นนี้สังเกตด่วน!

มันง่ายมากเลยค่ะ เพราะป้ายเหล่านี้มีอยู่ทุกที่จริงๆ แต่เราไม่สังเกตเพราะเรามองหาแค่สิ่งที่เราต้องการ พอเห็นคำบอกทางเป็นภาษาไทยปุ๊บ เราก็ไม่ดูสิ่งที่อยู่ข้างล่างมันเลย และถ้าสังเกตสักหน่อยเราจะได้คำศัพท์ในชีวิตประจำวันเยอะมาก บางคนเรียนภาษาอังกฤษเก่งมากแต่ไม่รู้คำศัพท์ที่ดูเหมือนจะง่ายในชีวิตประจำวันนะทำเป็นเล่นไป เพราะเรียนวิชาการมากเกินไปไง มีกี่คนที่รู้ว่ารถเข็นในห้างเรียกว่า Trolley (แบบอังกฤษ) หรือ Shopping cart (แบบอเมริกัน) ถ้าไม่รู้นะ ครั้งหน้าที่ไปซูเปอร์มาร์เก็ตลองดูว่ามันมีสองคำนี้ตรงที่จอดรถเข็นจริงๆ หรือเปล่า ทุกป้ายบอกทางที่บ้านเรามีภาษาอังกฤษค่ะซิส เรียนรู้จากมันดู!

นอกจากป้าย ก็เมนูอาหารนี่แหละแก…เมนูอาหารไทยเวลาที่มาเขียนเป็นภาษาอังกฤษนี่ยอมรับเลยว่าอธิบายโคตรยาก อย่างข้าวกะเพราเราก็เรียกกะเพราจบ แต่กะเพราสำหรับชาวต่างชาติคืออะไรล่ะ มันต้องขยายความออกมาอีกว่าเออใช้ใบนี้นะ ผัดกับอันนี้นะ บลาๆ เฟิร์นนี่โคตรเบื่อเลยเวลาเพื่อนต่างชาติมาหา เพราะไม่รู้จะอธิบายยังไงเวลาไป “ร้านอาหารตามสั่ง” ว่า “มึงสั่งอะไรก็ได้” (หัวเราะ) เพราะเพื่อนมักถามว่าร้านนี้เขาขายอะไรบ้าง แต่ความจริงคืออีข้าวตามสั่งนี่มันขายทุกอย่างโว้ย อยากกินอะไรก็ได้ คนไทยเราแอดวานซ์ตรงนี้ ฮ่าๆๆ เพราะงั้นการสังเกตเมนูภาษาอังกฤษเวลาไปร้านอาหารก็จะเป็นประโยชน์ดี อย่างน้อยเราจะได้รู้ว่าวุ้นเส้นเนี่ยเรียกว่า Vermicelli นะโว้ยยย (นั่น ไม่รู้กันล่ะสิ!)


นี่เป็น 6 ทิปง่ายๆ ที่เฟิร์นใช้ฝึกภาษาอังกฤษค่ะ ไม่ได้บอกนะว่าจะได้ผลกับทุกคนเหมือนที่มันได้ผลกับเฟิร์น เพราะแต่ละคนก็ถนัดไม่เหมือนกัน แต่อย่างน้อยเฟิร์นก็หวังว่าอย่างน้อยสิ่งต่างๆ ที่กล่าวไปจะเป็นประโยชน์บ้างนะ! ถ้าชอบ Blog อย่างนี้ก็อย่าลืมแชร์ไปให้โลกรู้ (ฮ่า) กด Subscribe ไว้จะได้ไม่พลาดโพสต่อๆ ไป และอย่าลืม! คอมเมนท์ให้กำลังใจกันบ้างนะเออ นั่งเขียนนี่นานนะเนี่ย ฮ่าๆๆ ลองเล่ามาก็ได้ค่ะว่าแต่ละอย่างที่เฟิร์นบอกว่ามันง่ายมากแต่เราไม่สังเกตกันน่ะจริงไหม หรือถ้าใครมีทิปอะไรอีกก็อย่าเก็บไว้ มาแบ่งปันกันเลย :)

แล้วไว้เจอกันคราวหน้านะ อย่าลืมว่าเฟิร์นยังจะมาแนะนำซีรีส์โปรดและ Youtuber อยู่เด้อ ใครอยากอ่านก็เมนท์บอกกันหน่อย!

xx

Fern

Instagram : fernniz.k

Twitter : fernniz

Facebook Page : fernniz

Komentar


bottom of page